เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
คนเราเกิดมา ปฏิสนธิจิตพาเกิดมา ความเกิดมาอันนี้ เห็นไหม จิตใจนี่สำคัญ พ่อแม่อยากมีลูกมาก แต่ไม่มีจิตปฏิสนธิ พ่อแม่นั้นก็ไม่มีลูก พ่อแม่ไปทำกิฟท์ ไปทำต่างๆ อยากมีลูกมากก็ไม่มีลูก แต่เวลาจิตปฏิสนธิลงในไข่นะ นี่เกิด เห็นไหม ทีนี้เวลาเกิดนี่กรรมพาเกิด พอเราเกิดมาเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ศาสนาสอนที่นี่
จะบอกว่าหลวงพ่อพูดทุกวันเลย เกิด แก่ เกิด แก่นี่พูดทุกวัน แต่พูดทุกวันเพราะมันเป็นยาแก้ไข้ ถ้าหัวใจมันเห่อเหิม มันคิดแต่จินตนาการของมันไป ถ้ามันไม่คิดถึงความตาย มันจะไม่รู้จักตัวมันเอง แต่ถ้ามันเป็นยาแก้ไข้ เห็นไหม ถ้ามันเห่อเหิม มรณานุสติคิดถึงความตายนะ ถ้าคนต้องตายมันไม่เห่อเหิมจนเกินไป ฉะนั้น ธรรมะมันก็ทิ่มเข้ามาในหัวใจเรานี่แหละ
ถ้าธรรมะมันทิ่มเข้ามาในหัวใจเรา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนา ศาสนาสอนถึงความกตัญญูกตเวที สอนถึงการเสียสละ สอนถึงความร่มเย็นของสังคม ถ้าเป็นความร่มเย็นของสังคมเราก็ได้ความร่มเย็นนั้นด้วย ถ้าในสังคมมันขัดแย้ง มันเดือดร้อนเราก็จะเดือดร้อนด้วย ฉะนั้น เราไม่ได้คิดว่าสังคมเดือดร้อนแล้วเราจะเดือดร้อนด้วย เราบอกเราจะมีความสุข เราจะมีความสุข เราจะแสวงหา เราจะเอาแต่ของเราไง
ฉะนั้น เราเกิดเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา เห็นไหม นี่ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ ถ้าประเพณีวัฒนธรรมชาวพุทธ นี่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เดี๋ยวนี้เขาท่องเที่ยววัฒนธรรมกัน นี่ในโลกเขาไม่มีกันเขาต้องมาดูเรานะ นี่มันเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาได้นะ ถ้าคนเอามาหามันเป็นเงินเป็นทอง แล้วว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราทำความถูกต้อง ทำความดีงาม มันเป็นความดีทั้งนั้นแหละ แต่มันเป็นความดีทางโลก
มันเป็นความดีของโลก เห็นไหม ถ้าเรามีความเชื่อ เราทำคุณงามความดี เราว่าเราทำคุณงามความดี นี่เราใส่บาตรทุกวัน เราทำบุญทุกวัน ทำไมมันทุกข์จนเข็ญใจขนาดนี้? ทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จเลย? บอกพุทธศาสนาทำบุญแล้วต้องได้บุญ ทำบุญแล้วต้องได้บุญ ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้? บุญเก่า บุญใหม่นะ กรรมเก่า กรรมใหม่
เวลาเรามีกรรมของเรามา เห็นไหม ถ้าเรามีกรรมของเรามา นี่กรรมของเรา เขาช่วยเหลือ เขาเจือจาน เขาดูแลทุกอย่างแหละ แต่ความรู้สึกนึกคิดเรามันคิดผิด คิดว่าเขาไม่พอใจ เขากลั่นแกล้งเรา ความคิดผิด คิดไม่ถึง ความคิดไม่ถึงทำให้หัวใจนี้ทุกข์ยากไปหมดแหละ แต่ถ้ามันคิดถึง มันคิดได้นะ นี่โลกนี้เขาก็ช่วยเหลือเจือจานกันทั้งนั้นแหละ ใครจะมีความช่วยเหลือได้นะ เว้นไว้แต่พวกกิเลส พวกตัณหาความทะยานอยาก พวกฉ้อฉล พวกฉ้อฉลนะยกไว้ พวกฉ้อฉลนั่นเรื่องของเขา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ฉะนั้น สิ่งที่เราทำขึ้นมาเราบอกเราทำบุญแล้วทำไมไม่ได้บุญ ทำแล้ว ถ้าเราไม่ทำบุญนะ หัวใจของเรามันไม่มีที่พึ่งมากกว่านี้นะ เวลาทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญ ทำบุญคือสิ่งที่ดี ถ้าหัวใจมันเดือดร้อน มันไม่มีทางออก ทำบุญเกาะสิ่งที่ดีไว้ มันยังเหนี่ยวรั้งกันไว้บ้าง แต่ถ้ามันไม่เหนี่ยวรั้งกันไป มันไปประสามันนะมันยิ่งทุกข์ยากกว่านี้ ถ้ามันทุกข์ยากกว่านี้ เวลามันทุกข์ยาก ความทุกข์ในหัวใจใครจะแก้ไขได้ล่ะ?
เราก็ว่าเราทำคุณงามความดีของเรา นี่ประเพณีวัฒนธรรม ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว นี่เรื่องโลกๆ นะ เวลาเรื่องโลกนี่ใคร เห็นไหม ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นสังคมเขาร่มเย็นเป็นสุข เขามารดน้ำดำหัว ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ชื่นใจ เป็นบุญไหม? มันก็เป็นบุญ นี่ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นลูกหลานมีความสงบ ความสุข ความประทับใจ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มีความสุข นี่บุญ บุญคือความสุขใจ
ฉะนั้น พอเรามีศรัทธามีความเชื่อแล้ว เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัตินี่ความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่น เราไม่มีการกระทำเลยเราจะไม่ขวนขวาย ดูสว่านสิ หัวสว่านมันจะเจาะนำไปก่อน มันจะเอาตัวสว่านนั้นไปทั้งหมดเลย ความเชื่อ ความศรัทธามันดึงเรามา พอเรามีศรัทธา ความเชื่อ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วมันจริงหรือเปล่า เราก็พยายามทำของเรา แต่ความดีความชั่วมันทำกับใคร?
สังคมนี่เหรียญมีสองด้าน คนดีและคนชั่วในสังคมมันมีมากมายไป ถ้าเราไปทำความดีๆ คนที่มันชั่วมันก็ทิ่ม มันก็แทงเอา ถ้าเราทำความดีของเรานะ ทำความดีก็ต้องทำที่ถูกกาลเทศะ นี้ทางโลกเขาถึงต้องมีปัญญา แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัตินะ นี่ความเชื่อ ความศรัทธา เวลาประพฤติปฏิบัติด้วยความเชื่อของเรา เรามั่นใจของเรา พอความเชื่อของเรา เราทำสิ่งใดไปมันจะเกิดจินตนาการ มันจะเกิดภาพอย่างที่ความเชื่อของเรา
ความเชื่อไม่ใช่ความจริง ความเชื่อ เห็นไหม เราปฏิบัติไป เรารู้เราเห็นของเรา มันเป็นความเชื่อ แล้วเราปฏิบัติไปเรารู้เราเห็นนะ เรารู้เราเห็นต่างๆ จินตนาการไป บางคนเห็นเป็นภาพว่าเป็นผีมาๆ ผีจริงหรือเปล่า? บางคนภาวนาไปรู้นั้น รู้นี้ รู้ต่างๆ รู้จริงหรือเปล่า? นี่ความเชื่อของเรามันชักนำไป ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันต้องมีความจริง
นี่ความจริงนะ เวลาจิตเราสงบขึ้นมามันมีสติมีปัญญาของมัน มันเลือก มันแยก มันแยะ มันพิจารณาของมัน ถ้ามันพิจารณาของมัน เห็นไหม ความเชื่อนะเราเชื่อไม่ได้ เวลาปฏิบัติธรรมขึ้นมา กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์สอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อใดทั้งสิ้น ให้เชื่อประสบการณ์จริงของเรา แต่เวลาประสบการณ์จริงของเรา ปฏิบัติไปมันก็ต้องเห็นอย่างนั้นแหละ
เวลาจิตของเรานะ จิตที่อ่อนแอ เวลามันรู้เห็นสิ่งใด พอจิตสงบไป อู๋ย มันโล่ง มันโถง มันมีความสุข นี่สิ่งนี้เป็นธรรมๆ เดี๋ยวเวลามันเสื่อมขึ้นมานะเสียใจ น้อยใจ ทำแล้วทำไมมันไม่ได้ดั่งใจ ทำแล้วทำไมมันไม่สมความปรารถนา นี่ประเพณีวัฒนธรรม เรื่องของนอกๆ นะประเพณีวัฒนธรรมมันเป็นเรื่องของการตกผลึกของสังคม ผู้เฒ่าผู้แก่เขาได้ทำกันมา เราสะสมมา มันมีความเชื่อความมั่นในหัวใจเรา มันเป็นวัฒนธรรมของเรา นี่เวลาแสดงออก แสดงออกตามวัฒนธรรม ตามความเชื่อ เวลาจิตมันประพฤติปฏิบัติเข้าไปมันก็ตามจริตนิสัย ตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตัว
เวลาปฏิบัติธรรมๆ เราว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม อริยสัจ สัจจะความจริง เราก็ว่าสิ่งนั้นตั้งใจของเราให้ทำตามนั้น พอทำตามนั้นขึ้นไป พอมันไปรู้ไปเห็นของเรา เรารู้เราเห็นนะ ดูสิเวลาของจากภายนอก เห็นไหม พ่อแม่ยื่นอาหารให้ลูก พ่อแม่ยื่นวัตถุให้ลูก ลูกได้รับจากมือพ่อแม่ เวลาเราประพฤติปฏิบัติใครยื่นให้เราล่ะ?
นี่กรรม เห็นไหม กรรมการกระทำในใจมันยื่นให้มา มันยื่นให้ มันยื่นให้ ในหัวใจเรามันยื่นให้ จริต ตัณหาความทะยานอยากมันยื่นให้ มันเป็นสัญญา สัญญามันสร้างภาพขึ้นมา สังขารมันจินตนาการไป มันเป็นความจริงไหม? ความเชื่อ เราว่าเราเชื่อแล้ว เราทำของเราแล้วเราจะน้อยใจนะ เราว่าเราทำคุณงามความดี เราตั้งใจทำความดีของเรา ทำไมมันไม่ได้ผล ทำไมมันไม่ได้ผล? มันไม่ได้ผลเพราะมันไม่เป็นความจริง
ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เวลากำหนดพุทโธ พุทโธ เราพุทโธ พุทโธ ก็พุทโธแล้ว พุทโธมันปล่อยวางแล้ว...เอ็งสร้างภาพทั้งนั้นเลย เวลาพุทโธเอ็งก็ไปคิดเอาพุทโธอยู่นู่นประเทศอเมริกา เวลามึงปล่อยพุทโธมึงก็ไปปล่อยไว้ฝรั่งเศส ไอ้เหี้ยมึงอยู่เมืองไทยมึงทุกข์เกือบตาย แล้วมึงบอกว่าพุทโธแล้วๆ ทำไปสักแต่ว่าทำ ทำไม่เป็นความจริงเลย
ถ้าเป็นความจริงนะพุทโธก็พุทโธของเราสิ อเมริกาก็เรื่องของเขา เขาจะเจริญ เขาจะทุกข์ก็เรื่องของเขา ฝรั่งเศสมันก็เรื่องของเขา ใจของเรามันอยู่ที่นี่ มันอยู่ที่กลางหัวอกนี่ ถ้าพุทโธก็พุทโธมันขึ้นมา นึกจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่านึกแต่หัวใจมันเร่ร่อน แล้วก็บอกว่าไม่ได้ผลๆ ให้มันนึกจริงๆ ขึ้นมา นึกจริงๆ ขึ้นมา ถ้าทำให้มันทำจริงๆ ขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา
ความจริง เห็นไหม เวลาแดดมันออกไปยืนกลางแดดใครไม่ร้อนบ้างล่ะ? มันก็ร้อนทั้งนั้นแหละมันเป็นความจริง นี่เวลาเราอยู่ในร่ม แดดออกก็ไม่รู้ เวลาฝนตกก็ไม่รู้ เวลาปฏิบัติขึ้นไปไม่รู้อะไรเลย พอไม่รู้อะไรเลย นี่ไงความเชื่อไง เราเชื่อตามๆ กันมานะ เราเห็นครูบาอาจารย์พุทโธเราก็พุทโธ อ้าว ท่านพุทโธแล้วประสบความสำเร็จ เราพุทโธแล้วทำไมมันไม่ได้เรื่อง อ้าว มันคนละพุทโธไง พุทโธด้วยความจริงกับพุทโธสักแต่ว่าทำ พุทโธความเชื่อมั่น เห็นไหม
ใครรักพ่อรักแม่ ดูแลพ่อดูแลแม่ นี่กลับบ้าน ทำงานกลับมามีของติดไม้ติดมือมาฝากพ่อ ฝากแม่มันเป็นความจริงนะ เราก็ว่ารักพ่อรักแม่ แต่เราไม่เคยดูแลพ่อแม่เราเลย ทุกคนก็รักพ่อรักแม่ทั้งนั้นแหละโดยสัญชาตญาณ แต่เราได้ดูแลพ่อดูแลแม่เราไหม? ไอ้คนที่เขารักเขากลับบ้านนะ เขามีของติดไม้ติดมือไปฝากพ่อฝากแม่เขา ไอ้นี่ว่าจะพุทโธ พุทโธรักษาใจของตัว มีอะไรติดหัวใจบ้าง พุทโธ พุทโธจริงไหม?
คำว่าพุทโธสักแต่ว่ามันคิดอยู่นอกๆ มันคิดที่ปาก พอพุทโธสักแต่ว่าจิตมันจะแฉลบ พอมันแฉลบขึ้นมา มันแว็บออกไป โอ้โฮ รำคาญน่าเบื่อ ทำอะไรไม่ได้ผลสักที ก็คนมันไม่จริง กลับบ้านไปไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝากพ่อฝากแม่เลย มันบอกรักพ่อรักแม่มัน ไอ้คนที่กลับบ้าน กลับช่องไปเขามีของติดไม้ติดมือไปฝากพ่อฝากแม่เขา พ่อแม่เขาได้รับจริงๆ ไอ้นี่พุทโธจริงๆ มันก็ได้จริงๆ ไอ้พุทโธสักแต่ว่ามันก็ได้สักแต่ว่า พอมันได้สักแต่ว่าขึ้นมา เราบอกว่าเราเชื่อมั่น เราปฏิบัติแล้วต้องได้ความจริง
เราเชื่อก็เราเชื่อ ศรัทธาก็คือศรัทธา มันไม่ใช่ความจริง เอ็งทำจนตายเอ็งก็ไม่ได้ นี่ศรัทธาก็คือศรัทธา ศรัทธามันเป็นความเชื่ออันหนึ่ง แต่ความจริงมันเป็นความจริงอันหนึ่ง ถ้าเอ็งยังทำไม่ถึงความจริง เอ็งจะเอาความจริงมาจากไหน ถ้ายังไม่ได้ความจริงมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่ทำไมมันสร้างสมมาขนาดนั้นล่ะ?
พอสร้างสมมาขนาดนั้นนะ อาฬารดาบส อุทกดาบสได้สมาบัติ ๘ บอกว่า อ๋อ เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเรา เก่งเหมือนเรา สอนได้แล้ว ไอ้พวกเรา ลองได้อาจารย์ยกตูดนะมันไปหมดเลย เจ้าชายสิทธัตถะ อุทกดาบสนี่ยกแล้วยกอีกนะ เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ กิเลสยังเต็มหัวอยู่ สมาบัติมันก็แค่ความสงบเท่านั้น เห็นไหม เขายกขนาดนี้ เจ้าชายสิทธัตถะไม่ไปกับใครเลย เอาความจริง
เรายังทุกข์อยู่ เรายังมีสิ่งที่หมักหมมในหัวใจอยู่ ใครจะยกย่องเราขนาดไหนมันลมปากของเขา ไม่เชื่อๆ เอาความจริงๆ เอาความจริงก็ต้องมุมานะกัน เอาความจริงก็ต้องทำกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตสงบเข้าไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตสงบแล้ว ได้เห็นสิ่งที่จิตนี้เคยเกิดเคยตาย เคยเกิดเคยตาย จิตนี้มันเก็บข้อมูลมา เพราะคนเคยเกิดเคยตายมันก็ซับลงที่จิตนั่นแหละ
อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง นี่สัญญาในปฏิจจสมุปบาท คือสัญญานี่มันจากปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันจะเป็นปัจจยาการ มันไม่ใช่เป็นกอง ไอ้สิ่งที่เราหยาบๆ นี่เป็นกอง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญาอันนี้เป็นกอง สัญญาอย่างนี้เป็นความจำ สัญญาอย่างนี้เกิดจากสมอง แต่ถ้าอวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารอย่างนั้นมันเป็นปัจจยาการที่มันเกิดจากจิต เวลาคนเกิด คนตาย จิตนี้มันต้องมีสิ่งนี้มา เพราะจิตมันไปเกิดเสียเอง จิตมันเกิดเอง จิตมันรับรู้เอง จิตเป็นชาติๆ หนึ่ง สักชาติหนึ่งทำไมมันจะไม่มีอะไรตกผลึกไปถึงจิต
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตสงบเข้าไป นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป นี่ดึงกลับมา เห็นไหม ดึงกลับมา นี่ไงไม่เชื่อ ไม่เชื่อ มันไม่ใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดึงกลับมา พอดึงกลับมา พอจิตเริ่มสงบ พอดึงกลับมาก็สู่ตัวจิต ตัวจิตก็สงบเพราะไม่ได้ออกรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณที่รู้อดีตชาติ นี่ดึงกลับมาแล้วมันก็เป็นจิตล้วนๆ พอจิตล้วนๆ พอมันมีกำลังออกไป จุตูปปาตญาณมันก็ไปเกิด ไปเกิดชาตินั้นๆ มันต้องไปเกิด จิตต้องไปเกิด ไม่ใช่อีกก็ดึงกลับ พอดึงกลับ เกิดอาสวักขยญาณที่เข้ามาทำลายกิเลส
นี่ความจริงมันเป็นแบบนี้ ถ้าความจริงมันเป็นแบบนี้ เวลาสายกรรมฐานเรา เห็นไหม หลวงปู่มั่นเวลาท่านอยู่ที่หนองผือเป็นประธาน ครูบาอาจารย์ไปเที่ยวป่าเที่ยวเขามาก็ต้องมารายงาน คือมาตรวจสอบว่าจริงหรือไม่จริง พอตรวจสอบจริงหรือไม่จริง นี่ความจริงมีอันเดียว อริยสัจมีอันเดียว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคมีอันเดียว ถ้ามรรคมันเกิด คนเรามีเงินเหมือนกัน ใช้สอยเงินเหมือนกัน เงินนั้นมันจะผิดไปจากไหนถ้ามันเป็นเงินจริง
หนึ่งบาทก็มีค่าหนึ่งบาท หนึ่งบาทของคนจนกับหนึ่งบาทของเศรษฐี เศรษฐีมีหนึ่งบาท ทุกคนเห็นเศรษฐีมีหนึ่งบาท หนึ่งบาทใช้ไปหนึ่งบาท ทุกคนก็แหม เคารพนบนอบเพราะหนึ่งบาทนั้นใหญ่นัก คนจนคนเข็ญใจมีหนึ่งบาทเหมือนกัน คนจน คนเข็ญใจ เขาดูถูกเหยียดหยามคนจนมีอยู่หนึ่งบาท ค่าเงินหนึ่งบาทไม่ต้องการ แต่ค่าหนึ่งบาทมันก็ค่าหนึ่งบาทเท่ากัน แต่สังคมเขายกย่องของเขากันไปเอง แต่เวลาเป็นจริงขึ้นมาอริยสัจมันเป็นอันเดียวกันเอง ถ้าอริยสัจเป็นอันเดียวกัน เห็นไหม มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมีหนึ่งเดียว มันถึงตรวจสอบได้
ฉะนั้น บอกว่าเราสงสารไง ใครมาก็ว่าพุทโธแล้ว ปฏิบัติแล้วทำไมมันไม่ได้ผล ปฏิบัติเห็นกาย เห็นกายนี่เห็นโดยอุปาทาน เห็นกายโดยจินตนาการ หมอมันผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทุกวัน มันผ่าสมองด้วย มันเอากายนั้นมาเป็นอาชีพ เอากายนั้นมาเป็นเครื่องมือหากินของเขา แล้วเราว่าเห็นกายๆ เห็นจริงหรือเปล่า?
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ พอคำว่าเห็นกายก็คือเห็นกายไง เงินของคนจนหนึ่งบาท เงินของเศรษฐีหนึ่งบาท นี่พอเศรษฐีมีเงินหนึ่งบาท อู้ฮู เงินนี้มีค่ามาก เป็นร้อย เป็นล้าน เป็นแสน คนจนมีหนึ่งบาทมีค่าเท่ากับศูนย์ มีค่าไม่เป็นเงินเป็นทองเลย เพราะอะไร? เพราะสังคมมันเชื่อกัน แต่ถ้าเป็นความจริงหนึ่งบาทก็คือหนึ่งบาท มีค่าเท่ากัน อริยสัจก็คืออริยสัจ เอ็งทำมาสิ ถ้าเป็นจริงก็ต้องเป็นความจริง นี่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านตรวจสอบกันอย่างนี้เป็นความจริง
เราจะบอกว่าถ้าปฏิบัติแล้วความจริงต้องเป็นความจริง แล้วถ้าปฏิบัติความจริงได้ ต้องได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเรามาอุปาทานกัน แล้วก็มาน้อยเนื้อต่ำใจนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพิจารณากาย เห็นกาย เราก็ว่าท่านเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี ไอ้เราเห็นกาย ดูกายแล้วทำไมไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็มึงนึกเอา ครูบาอาจารย์ท่านพูดมึงก็จินตนาการเอา แล้วมันจะเป็นจริงไหมล่ะ?
ถ้ามันเป็นจริงนะ ค่าหนึ่งบาท เห็นไหม น้ำกรด เราหยอดลงภาชนะสิ่งใด มันจะกัดสิ่งนั้นทะลุไปเลย ถ้าเป็นมรรคญาณ เป็นศีล สมาธิ ปัญญาตามความเป็นจริง มันจะเคี้ยวกินกิเลสเลย มันจะทำลายทั้งหมดถ้ามันเป็นความจริง ฉะนั้น เป็นความจริง เราต้องปฏิบัติความจริงของเราขึ้นมา ฉะนั้น ถ้ามันยังไม่จริง นี่เป็นพื้นฐานใช่ไหม มันก็เป็นศรัทธาความเชื่อ เป็นจริต เป็นนิสัย เราก็ปูพื้นของเราไว้ เราก็พยายามของเรา ทุกคน เราก็อยากจะมีเงินมีทองเป็นสมบัติของเราคนเดียว ถ้าเป็นสมบัติของคนอื่นเราก็ดูของเขาเฉยๆ
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมของครูบาอาจารย์ ธรรมของผู้ที่ปฏิบัติก็เป็นของท่าน เราก็อยากได้ของเรา ถ้าอยากได้ของเรา เราก็พยายามทำของเรา ถ้ามันยังไม่ได้นะ ทาน ศีล ภาวนา ทำบุญกุศลขนาดไหนนะมันต้องไปที่ภาวนา เราภาวนาของเรา เราภาวนาเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นบุญกุศลอันหนึ่ง คนจะมีปัญญาได้เพราะเกิดจากการภาวนา เห็นไหม
มีการศึกษา อ่านหนังสือแล้วเครียดมาก ทำความสงบของใจแล้วมาอ่านมันก็จะทะลุปรุโปร่ง นี่เพราะมีสมาธิ แล้วถ้าเกิดภาวนามันจะเกิดปัญญา ทุกคนอยากฉลาด ทุกคนอยากมีปัญญา แต่เวลาภาวนาไปแล้วกิเลสมันก็ไปหลอกในปัญญานั้น สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ อย่าให้กิเลสมันหลอก เราพยายามสู้ของเรา ถ้าปัญญามันเกิด ภาวนามยปัญญามันชำระกิเลสได้จริงๆ ชำระกิเลสได้นะ
สิ่งที่เราแสวงหากันนี่ทุกข์ๆๆ เราอยากจะพ้นจากทุกข์ ถ้ามันชำระกิเลสได้ คือมันถอนทุกข์จากหัวใจของเรา มันมีค่า เงินทองถอนไม่ได้ พ่อแม่ช่วยไม่ได้ ใครทำให้ไม่ได้ทั้งนั้น เราจะต้องทำของเราเอง แล้วถ้าเรามุมานะ เราทำงานสิ่งนี้อยู่ เราเกิดมาในโลกเรามีอาชีพเราก็ทำของเราอยู่ จิตใจที่เป็นทุกข์นี้เราก็พยายามจะถอดจะถอนมันด้วยที่เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้ว แล้ววางธรรมและวินัยไว้นี้ให้เราก้าวเดิน ก้าวเดินด้วยหัวใจ เอวัง